loading...
วิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูกและการฉีด HPV Vaccine
หน่วยสวัสดิการสุขภาพรามาธิบดี
มะเร็งปากมดลูกพบเป็นอันดับ 1 ของมะเร็งในสตรีไทย สาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกคือ การติดเชื้อ HPV ชนิดก่อมะเร็ง การป้องกันมะเร็งปากมดลูกแบ่งออกเป็น 3 ระดับ การตรวจคัดโรคโดยการทำ Pap smear หรือ HPV test เป็นการป้องกันแบบทุติยภูมิ ซึ่งเป็นการตรวจหาสตรีที่ติดเชื้อ HPV หรือมีความผิดปกติของเซลล์ปากมดลูกจากการติดเชื้อ HPV แล้ว ไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ HPV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักหรือขั้นตอนแรกของกระบวนการก่อมะเร็งปากมดลูก การฉีด HPV vaccine เพื่อสร้างเสริมให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อ HPV เป็นการป้องกันแบบปฐมภูมิ ราชวิทยาลัยสูติ นรีแพทย์แห่งประเทศไทย (.2551) สมาคมมะเร็งนรีเวชไทย และราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย (2555) จึงแนะนำการให้วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV) เพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อ HPV และลดอุบัติการณ์ของมะเร็งปากมดลูกในระยะยาว
ผลการศึกษา เกี่ยวกับ HPV vaccine
พบว่ามีความปลอดภัยสูง กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้แรงกว่าการติดเชื้อ HPV ตามธรรมชาติ และมีประสิทธิภาพสูงมากอย่างมีนัยสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ HPV จากเชื้อ HPV สายพันธุ์เดียวกับวัคซีนที่ฉีด อย่างไรก็ตามการตรวจ คัดโรคมะเร็งปากมดลูกก็ยังมีความจำเป็นอยู่ เนื่องจาก HPV 16/18 vaccine สามารถครอบคลุมเชื้อ HPV 16/18 ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก ได้ประมาณร้อยละ 70 ถึงแม้ว่าจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันรอยโรคก่อนมะเร็งที่เกิดจากเชื้อ HPV 16/18 ได้สูงถึงร้อยละ 99-100 ก็ตาม มีข้อมูลการศึกษาติดตามภายหลังการฉีดวัคซีนจนถึง 5–8.5 ปี พบว่าเมื่อฉีดให้ผู้ที่ไม่เคยมีการติดเชื้อ HPV มาก่อน วัคซีนทั้งสองชนิดมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อ HPV ที่เกิดจากสายพันธุ์ที่บรรจุในวัคซีน และป้องกันการคงอยู่ของเชื้อ ภายหลังที่มีการติดเชื้อได้ประมาณร้อยละ 90-96 นอกจากนี้ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าวัคซีนสามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV ข้ามสายพันธุ์ (สายพันธุ์ 31, 33, 45, 52 และ 58) จากที่บรรจุในวัคซีนในระดับหนึ่งด้วย แม้ว่าป้องกันการติดเชื้อ HPV ได้แต่ไม่สามารถขจัดการติดเชื้อที่มีอยู่ หรือรักษาโรคที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อได้
loading...
ขนาดและการฉีด HPV Vaccine
การฉีด HPV vaccine ให้ฉีด 0.5 มล. เข้ากล้ามเนื้อจำนวน 3 ครั้ง (3 เข็ม) ดังนี้
ครั้งที่ 1 : ฉีดในวันที่กำหนดเลือก
ครั้งที่ 2 : ฉีดในเดือนที่ 1-2 หลังจากการฉีดครั้งแรก
(Cervarix แนะนำเดือนที่ 1 และ Gardasil แนะนำเดือนที่ 2)
ครั้งที่ 3 : ฉีดในเดือนที่ 6 หลังจากการฉีดครั้งแรก
อาการข้างเคียงของการฉีด HPV Vaccine
โดยทั่วไปการฉีด HPV vaccine มีความปลอดภัยสูง ไม่พบอาการข้างเคียงชนิดรุนแรง อาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้แก่
1. อาการข้างเคียงบริเวณที่ฉีดวัคซีน เช่น ปวด บวม แดง และคัน ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง เป็นอยู่ชั่วคราวและหายไปเอง
2. อาการทั่วไป เช่น ไข้ พบประมาณร้อยละ 10 ส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและหายไปได้เอง อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย และผื่นคันตามตัว อาการเหล่านี้ไม่รุนแรงและหายไปได้เอง
สิ่งที่ควรทราบก่อนการฉีด HPV Vaccine
1) ไม่จำเป็นต้องตรวจหาเชื้อ HPV (HPV test)ก่อนการฉีด HPV vaccine เนื่องจากการตรวจหาเชื้อ HPV ไม่สามารถระบุได้ว่าเคยมีการติดเชื้อมาแล้วหรือไม่ ถ้าผลการตรวจให้ผลบวกก็บอกได้เพียงว่า มีการติดเชื้อ HPV อยู่ในปัจจุบันหรือไม่เท่านั้น
2) การฉีดวัคซีน HPV ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV หูดหงอนไก่ได้ทุกราย
3) การฉีดวัคซีน HPV ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อ HPV สายพันธุ์อื่นที่ไม่ได้มีในวัคซีน
4) ถ้ามีการติดเชื้อ HPV แล้วประสิทธิภาพของวัคซีนจะลดลงหรือได้ประโยชน์ไม่สูงเท่าที่ควร
5) การฉีดวัคซีน HPV ไม่สามารถใช้รักษาหูดหงอนไก่ รอยโรคก่อนมะเร็งปากมดลูก รอยโรคก่อนมะเร็งของช่องคลอดและรอยโรคก่อนมะเร็งปากช่องคลอดได้ ถ้ามีรอยโรคดังกล่าวควรรักษาให้หายก่อน
6) การฉีดวัคซีน HPV ไม่สามารถป้องกันโรคอื่น ๆ ของอวัยวะเพศที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ HPV เช่น โรคเริม และตกขาวจากเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ เป็นต้น
7) ถ้ามีภูมิคุ้มกันต่ำหรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนอาจจะลดลง
8) หลังจากฉีดวัคซีน HPV แล้ว ถ้ามีเพศสัมพันธ์ ควรจะมีเพศสัมพันธ์ในเชิงป้องกันการติดเชื้อ HPV ด้วย เช่น การมีคู่นอนคนเดียว (monogamous) หรือ การคุมกำเนิดโดยการใช้ถุงยางอนามัย เป็นต้น
loading...
สิ่งที่ควรปฏิบัติในการฉีด HPV Vaccine
2. ไม่แนะนำให้ฉีดในขณะตั้งครรภ์ ในช่วงที่ฉีดวัคซีน HPV ควรคุมกำเนิดด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพไว้ก่อนจนกระทั่งฉีดครบ 3 เข็มไปแล้วอย่างน้อย 1 เดือน หรือถ้าตั้งครรภ์ขณะยังฉีดไม่ครบ 3 เข็ม ให้เลื่อนไปฉีดหลังคลอด
3. หลังฉีดวัคซีน HPV แล้ว ควรนอนพักสังเกตอาการอย่างน้อย 30 นาที ไม่ควรเดินกลับคนเดียวหรือขับรถกลับด้วยตนเอง ควรมีเพื่อนหรือผู้ปกครองมาด้วย
4. การฉีดวัคซีน HPV ไม่สามารถใช้ทดแทนการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้ หลังฉีดวัคซีน HPV แล้ว ควรมารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกตามที่แพทย์นัดเมื่อถึงวัยอันควร เนื่องจาก HPV 16/18 vaccine ครอบคลุมเฉพาะเชื้อ HPV 16 และ HPV 18 ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกประมาณร้อยละ 70 เท่านั้น สตรีที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้วควรได้รับการตรวจ คัดกรองมะเร็งปากมดลูกตามปกติ ถ้าตรวจพบความผิดปกติควรให้การรักษาตามมาตรฐานก่อนการฉีด HPV vaccine เนื่องจากการฉีด HPV vaccine ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินโรค จึงอาจจะพิจารณาการฉีด HPV vaccine ในกรณีดังกล่าวได้ แต่ต้องอธิบายให้ผู้รับการฉีดวัคซีนเข้าใจด้วยว่า ประสิทธิภาพของ HPV vaccine อาจจะลดลงถ้าเคยติดเชื้อ HPV สายพันธุ์เดียวกับวัคซีนมาก่อน เมื่อเปรียบเทียบกับสตรีที่ไม่เคยติดเชื้อ HPV เลย อย่างไรก็ตามต้องเน้นย้ำถึงการมารับ การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอด้วย
สตรีที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว
สตรีที่เคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว สามารถฉีด HPV vaccine ได้ สตรีที่เคยมีผล Pap smear ผิดปกติ ควรได้รับการดูแลตามมาตรฐาน ถ้าได้รับการรักษาหายแล้ว สามารถฉีดวัคซีนได้ แต่ควรให้คำแนะนำว่าประสิทธิภาพของวัคซีนอาจจะลดลงถ้าเคยติดเชื้อ HPV มาก่อน อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะฉีดวัคซีนแล้ว ก็ยังต้องมารับ การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอด้วย
คำแนะนำในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก
1. ควรฉีดวัคซีน HPV ให้ครบ 3 เข็มในช่วงอายุที่กำหนด
2. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่นการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร การมีคู่นอนหลายคน การสูบบุหรี่ เป็นต้น
3. ควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอด้วย

0 comments:
Post a Comment